แข็งแรงมากขึ้นด้วยการตัดน้ำตาล
ใครหลายคนคงเคยลดน้ำหนักกันมาแล้ว การลดน้ำหนักดูเหมือนจะยากขึ้นเรื่อยๆ ในครั้งหลังๆ และยิ่งลดได้เยอะเท่าไรกิโลต่อไปยิ่งยากขึ้นอีกๆ คำที่บอกเล่าต่อๆกันมาว่าแค่กินลดลง ขยับตัวมากขึ้นเดี๋ยวก็ผอม พอได้มาทำจริงๆแล้วต่างก็พบว่า มันไม่จริงการศึกษาในปัจจุบันมีงานที่น่าสนใจออกมาแย้งว่า สิ่งที่เราควรใส่ใจคือ เรากินอะไร มากไปกว่า เรากินเท่าไรนั่นเอง และ จากเรากินอะไร ก็ต่อยอดไปด้วยว่าร่างกายเราเผาผลาญแบบไหนตามมา การควบคุมเพียงสองเรื่องนี้ก็ทำให้การลดน้ำหนักประสบความสำเร็จไปแล้วมากกว่าแปดสิบเปอร์เซนต์ ตามกฎของพาเรโต
อุปสรรคสำคัญอยู่ที่เราถูกปลูกฝังความเชื่อกันมานานว่าการควบคุมน้ำหนักขึ้นกับปริมารแคลที่เรากินหรือปริมาณแคลที่เราเบิร์น แต่มีอีกทฤษฏีเกี่ยวกับความอ้วน ที่บ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ของ คาร์บและอินซูลินกับความอ้วน โดยทฤษฎีนี้ได้มาจากการติดตามผู้ป่วยเบาหวานที่มีการฉีดอินซุลินทุกเช้าและเย็นโดยจำกัดปริมาณอาหารที่ทานลดลง แต่กลับทำให้นน.ของผู้ป่วยและสรีรของผู้ป่วยเพิ่มขึ้นนั่นเอง โดยหลักการของมันคือการกินคาร์โบไฮเดรต โดยเฉพาะกลุ่ม high glycemic index เช่น แป้งขัดขาว น้ำตาล ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างกายจึงจำเป็นต้องหลั่งอินซูลินปริมาณมากๆเพื่อมาลดระดับน้ำตาลให้ได้ไวๆ คราวนี้การเพิ่มของอินซูลินเร็วๆแบบนี้กลับทำให้เซลล์ไขมัน (adipose cell)กักเก็บพลังงานมากขึ้น ขยายขนาดและเปลี่ยนเป็นไขมันที่อักเสบ (white fat) และการลดน้ำตาลๆเร็วๆส่งผลให้เราโหยน้ำตาลต่อเนื่องทำให้เรากินบ่อยขึ้นเป็นวงจรที่ทำให้เกิดการอักเสบจากการสะสมไขมันทั่วร่างนั่นเอง ดังนั้น การจะควบคุมน้ำหนักให้ลดลงสู่ระดับที่เหมาะสมในระยะยาว เริ่มต้นด้วยการตัดคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลนั่นเองครับ
อีกหนึ่งงานที่ถูกกล่าวถึงกันอย่างมากในการศึกษาเรื่องอาหารของ Framingham state university ที่จำกัดแคลอรี่อาหารจดน้ำหนักลดไปประมาณ 10-15เปอร์เซนต์ จากนั้นนำมาแบ่งกลุ่ม
ได้รับคาร์โบไฮเดรต 20% ,40%,60% อีก ห้าเดือนต่อมา มาวัดผลกัน หลายๆคนคงสงสัยว่ากินอะไรกันบ้าง มีหลากหลายครับแต่จำกัดสัดส่วนปริมาณตามกลุ่มที่กำหนดไว้ แต่ความสำคัญคือ ตั้งใจวัดระบบเผาผลาญของแต่ละกลุ่ม
สรุปผลได้ว่า กลุ่มจำกัดคาร์บที่ 20% มีการเผาผลาญสูงกว่าอีกสองกลุ่มเฉลี่ยที่ 250 แคลอรี่ (มีบางคนเผาผลาญมากกว่าสูงสุดที่ 400 แคลอรี่อีกด้วย) นี่เป็นการทดลองที่ได้ผลตามคาร์โบไฮเดรต-อินซูลินโมเดล ที่มีชื่อเสียงมากนั่นเอง
อีกหนึ่งการสังเกตของสถิติพบว่า ค่าเฉลี่ยน้ำหนักของชายชาวอเมริกันเมื่อ 60 ปีก่อนอยู่ที่ 75 กิโลกรัมส่วนปัจจุบัน ค่าเฉลี่ยน้ำหนักอยู่ที่ 88 กิโลกรัม ส่วนของในผุ้หญิงก็เพิ่มจาก 64 กิโลกรัม เป็น 75กิโลกรัมในปัจจุบัน OMG!!! ผลลัพธ์แบบนี้ก็สามารถนำมาอธิบายตามคาร์โบไฮเดรต อินซูลินโมเดลได้เช่นกันเพราะช่วง40 ปีที่ผ่านมา standard American diet กำหนด แป้งเป็นอาหารหลักที่ให้พลังงานนั่นเองครับ
ผมยังคงสนับสนุนแนวทางการลดน้ำหนักในระยะยาว และการดูแลสุขภาพที่ดีด้วยการตัดคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่แปรรูปเป็นหลัก หรือ ลองทำ CD/zero carb ดูสักระยะก่อนตัดสินใจด้วยตัวคุณเองว่ามีประโยชน์กับตัวคุณหรือไม่ สุดท้ายแล้วเราจะค้นพบว่าอาหารเป็นพลังงานแต่การตกแต่งอาหารด้วยรสสัมผัส สีและกลิ่นต่างหากที่ทำให้เราติดกับดักของน้ำตาล ซึ่งจนถึงปัจจุบันนี้ยังไม่มีงานวิจัย การศึกษาอันไหนที่จะตอบได้อย่างถูกต้องและเคลียร์ในทุกข้อสงสัยของการกิน การเผาผลาญพลังงานที่ดีที่สุดในเรื่องของอาหารหรอกครับเนื่องจากปัจจัยในหลายๆอย่าง งานวิจัยยิ่งใหญ่ยิ่งส่งผลกระทบวงกว้างในหลายอุตสาหกรรม และผลประโยชน์ในหลายแวดวง ดังนั้นให้ตัวคุณเองพิสูจน์เถอะครับ
ref
https://www.bmj.com/content/363/bmj.k4583
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6163108/pdf/nzy060.pdf


เขียนบทความ รีวิว แบ่งปันกับสมาชิก Morhub.com! สร้างโพสต์ของคุณ!