บทสนทนาที่คนไข้ไม่อยากได้ฟังคือ ผลชิ้นเนื้อที่เป็นมะเร็งครับ เชื่อได้ว่าหมอหลายคนคงกระอักกระอ่วนที่จะแจ้งผลและแน่นอนคนไข้ที่ได้ยินผลก็คงไม่อยากฟัง บางคนสับสน ไม่มีสติในการรับฟังแนวทางรักษาต่อไปแต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เราจะมาพูดกันวันนี้ครับ เรื่องที่จะพูดวันนี้คือ มีแนวทางในการควบคุมโรคมะเร็งอยู่ครับ มะเร็งก็คือเนื้อเยื่อที่เจริญผิดปกติจนไปรบกวนอวัยวะภายใจและการทำงานของร่างกาย เนื้อเยื่อย่อมต้องการพลังงาน ความลับในการควบคุมพลังงานก็สามารถควบคุมมะเร็งได้ครับ และความลับนั้นคือ การควบคุมการเผาผลาญพลังงานจากน้ำตาลในร่างกายครับ
ที่พูดได้แบบนี้เพราะอ้างอิงมาจากงานวิจัยของ Pablo Sierra González, PhD of Beatson institute for cancer reserch (cancer reserch United Kingdom) ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็ง ได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของน้ำตาลที่ให้กับหนูทดลอง ตั้งแต่ glucose ไปจนถึง mannose พบว่า การเติบโตของเซลล์มะเร็งแตกต่างกันไป ( mannose เป็นน้ำตาลที่ไม่ค่อยพบในร่างกาย) และยังพบว่ายาเคมีมีผลตอบสนองค่อนข้างดีในหนูทดลองที่ไม่ได้ glucose อีกด้วย งานทดลองอันนี้ทำให้มีการเปลี่ยนแนวความคิดการรักษาไปในระดับเปลี่ยนแปลงการเผาผลาญพลังงานระดับเซลล์เลยทีเดียว ทั้งนี้เนื่องจากเซลล์มะเร็งใช้พลังงานจากน้ำตาลกลูโคส(glycolysis) เป็นส่วนใหญ่หรือตามทฤษฎีที่เรียกว่า Warburg effect โดยมะเร็งบางชนิดอาจมีการใช้พลังงานจากกลูโคสสูงกว่าเซลล์ปกติถึง 200 เท่า
****ในการทดลองของwarburg effectได้เทียบกระบวนการใช้พลังงานจากกลูโคสในมะเร็ง พบว่าการใช้พลังงานกลูโคสเพิ่มมากขึ้นจะยิ่งทำให้เกิดสารในเซลล์ที่ไปกระตุ้นการทำงานให้ RAS ซึ่งเป็นยีนกระตุ้นมะเร็ง( การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของเซลล์มะเร็งหรือOncogene มียีนหลายตัวที่เป็นตัวกระตุ้น ตัวหลักๆชื่อ RAS เมื่อตัวกระตุ้นตั้งต้นส่งสัญญาณที่ผิดปกติในเซลล์ ทำให้เกิดการสร้างโปรตีนผิดปกติส่งเสริมการเกิดไปเป็นมะเร็งต่อไป RAS เป็นยีนที่พบว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมได้บ่อยที่สุดในมะเร็งประมาณ20% โดยในมะเร็งบางชนิดอาจพบถึง 90% เลยทีเดียวเช่นมะเร็งตับอ่อน ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มียายับยั้งการเลี่ยนแปลงที่ผิดปกติของ RAS ได้ครับ) ทำงานเพิ่มขึ้นและเกิดการแย่งจับของยีนบางตัวซึ่งการกระตุ้นเพิ่มขึ้นนี้อาจจะส่งผลให้เกิดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ ***
สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือ ในการทดลองนี้ยังพบตัวแปรที่สำคัญคือน้ำตาลฟรุคโตส น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวอีกตัวที่มีมากในผลไม้ สามารถเป็นพลังงานให้กับเซลล์มะเร็งได้ ซึ่งในการทดลองพบว่าเซลล์มะเร็งที่ได้น้ำตาลแมนโนสจะมีการเติบโตที่ไม่ดีแต่ในเซลล์ที่มีเอนไซม์ phosphomannose isomerase ที่จะไปเปลี่ยนโครงสร้างน้ำตาลแมนโนสให้เป็นน้ำตาลฟรุคโตสได้กลับมีการเจริญเติบโตที่ดีกว่านั่นเอง
แม้เรื่องนี้จะน่าสนใจ แต่เราก็คงไม่สามารถหาน้ำตาลแมนโนสมากินเป็นหลักได้อยู่ดีครับ สิ่งที่เราสามารถทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีน่าจะเป็นการปรับร่างกายให้ใช้พลังงานจากไขมันหรือคีโตนบอดี้มากกว่าการกินZeroCarbยังเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีนะครับหรือจะกินketogenic dietเพื่อให้เข้าคีโตซิสก็ดีครับ และการทำfasting เพื่อประโยชน์ของการเกิดautophagy และเข้าคีโตซิสนานขึ้นเพื่อที่ว่าเราจะได้ไม่ต้องใช้พลังงานจากน้ำตาลอันเป็นพลังงานเดียวกันกับที่เลี้ยงเซลล์มะเร็ง ทั้งนี้ในการทดลองตอนนี้ทำในสัตว์ทดลองพบกว่าการเข้าคีโตซิสมีผลตอบสนองต่อเซลล์มะเร็งให้ผลลัพธ์ดีขึ้นเสริมฤทธิ์กับยาคีโมและการฉายแสงอีกด้วย แต่อย่างไรก็ดียังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดทางการแพทย์ที่สามารถรับรองได้ว่าการทำแบบเดียวกันนี้สามารถให้ผลรักษามะเร็งในมนุษย์ได้ดีเหมือนกันหรือไม่ แต่เชื่อได้ว่าอีกไม่นานจะมีข้อสรุปได้แน่นอนครับ

- https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5842847
- http://www.foodnetworksolution.com
- https://www.nature.com/articles/s41586-018-0729-3
- cancer precision medicine
เขียนบทความ รีวิว แบ่งปันกับสมาชิก Morhub.com! สร้างโพสต์ของคุณ!